หน้าเว็บ

Changklang

ตำนานเมืองช้างกลาง


คำว่า "ช้างกลาง" ตามประวัติเมืองก็กล่าวว่าสมัยก่อนมี "กรมช้างกลาง" เป็นหน่วยงานระดับกรมหนึ่งในจำนวน 28 กรมใหญ่ของเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นระบอบการปกครองแบบจตุสดมภ์ก่อน พ.ศ. 2437 หน้าที่ของกรมช้างกลาง คือ การคล้องช้าง ป่าที่มีมากมายในป่าเขาหลวง เพื่อนำช้างป่ามาฝึกหัดเพื่อใช้ในงานราชการ หลังจากนั้น รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้พระวิจิตรวรสาส์น (ปั้น สุขุม) เลขานุการเอกจากสถานทูตไทยกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษมาเป็นข้าหลวงบริเวณนครศรีธรรมราช สงขลา พัทลุง ปัตตานี และบริวาร รวมกันเป็นกลุ่มเรียกว่า "มณฑลนครศรีธรรมราช" ต่อมาพระวิจิตรฯ ได้รับเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยาสุขุมนัยวินิต ดำรงตำแหน่งหัวหน้ามณฑล เรียกว่าข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช ตั้งที่ว่าการมณฑลอยู่ที่สงขลาและนครศรีธรรมราช แล้วให้กรมช้างกลางแบบโบราณขยายตัวไปให้ "กรมการอำเภอฉวาง" ทำหน้าที่คล้องช้างแทน โดยแบ่งเป็น 2 กรมย่อยในสังกัด คือ กรมช้างซ้ายอยู่ที่อำเภอพระพรหมและกรมช้างขวาอยู่ที่กาญจนดิษฐ์ สุราษฎร์ธานี มีขุนนางระดับหลวง 1 คน ขุน 12 คน และหมื่น 5 คน ร่วมกันรับผิดชอบกรมช้างกลาง (ทำให้กิ่งอำเภอช้างกลาง มีคำขวัญว่า "ตำนานเมืองคล้องช้าง") ช้างที่ฝึกหัดดีแล้วจะถูกส่งมารวมกัน อยู่ที่กรมช้างซ้าย เมื่อมีศึกก็จะระดมพลช้างได้ทันท่วงที ส่วนกรมช้างขวาก็จับช้างป่ามาฝึกหัดให้เมืองนครฯ เช่นกัน ในขณะเดียวกันก็ควบคุมอาณาบริเวณปากอ่าวบ้านดอน ที่ขึ้นกับเมืองนครฯ และเกาะสมุยด้วย


ทั้งกรมช้างกลาง กรมช้างซ้ายและกรมช้างขวา สามกรมช้างจึงมีความสัมพันธ์ต่อกันในการสร้างกองทัพช้างอันยิ่งใหญ่ให้นครศรีธรรมราชตลอดมา บริเวณที่มีช้างป่าชุกชุมในเวลานั้น คือบริเวณคลองกุย ควนพรอง ควนส้าน หนองเตย ปากมิน ปากน้ำ ถ้ำพรรณรา พิปูน บ้านนา คลองงา นากะชะ ช้างป่าบริเวณนี้มากจนกล่าวกันว่าชาวบ้านจึงเอาช้างมาไถนา เพราะเห็นว่าช้างมีกำลังมากกว่าวัว ควายใช้คัน ไถนาได้ทีละหลายอัน พอถึงฤดูเก็บเกี่ยวก็ใช้ช้างลากกะเปาะใส่เลียงข้าวขนาดใหญ่ เอาไปเก็บที่เรือนข้าว ดูค่อนข้างสะดวก สบายสำหรับอาชีพทำนายุคนั้น แต่ว่าแม่โพสพคงไม่ค่อยชอบ เพราะช้างตัวโตคงทำให้รวงข้าวตกหล่นไปเสียมากภายหลัง จึงเลิกใช้ช้างไถนากัน ถึงกระนั้นยังเป็นที่กล่าวขวัญไม่รู้จบ







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น